วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


คณะ สงฆ์อนัมนิกาย (พระญวน) ความเป็นมาของชาวญวนในไทย คนญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย
            สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ยังไม่มีหลักฐานปรากฏ จากพงศาวดารของพวกญวน ที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ มีอยู่ว่าเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2316 ได้เกิดกบฏขึ้นที่ เมืองเว้ อันเป็นเมืองหลวง ของประเทศญวน พวกราชวงศ์ญวน ได้พากันหนีพวกกบฏ ลงมาทางเมืองไซ่ง่อนหลายองค์องเชียงชุนราชบุตรองค์ที่ 4 ของเจ้าเมืองเว้ ได้หนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองฮา เตียน ต่อแดนมณฑลบันทายมาศของเขมร เมื่อพวกกบฏยกกำลังติดตามมา เจ้าเมืองฮาเตียนก็อพยพครอบครัว พาองเชียงชุนเข้ามากรุงธนบุรี เมื่อประมาณ ปีพ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้รับไว้ และพระราชทานที่ให้พวกญวน ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกฝั่งพระนคร ทางฝั่งตะวันออก บริเวณถนนพาหุรัดในปัจจุบัน
            ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องเชียงสือ ราชนัดดาของเจ้าเมืองเว้  ได้หนีกบฏไปอยู่เมืองไซ่ง่อน แต่ต่อมาเมื่อสู้กบฏไม่ได้ จึงได้หนีมาอยู่ที่เกาะกระบือในเขมร  ต่อมาได้เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ที่กรุงเทพ ฯ เมื่อ ปี พ.ศ. 2326 และได้รับพระราชทานที่ให้ญวนพวกองเชียงสือ ตั้งบ้านเรือนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ตำบลคอกกระบือ พวกญวนที่นับถือองเชียงสือได้พากันอพยพครอบครัวมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก องเชียงสือได้คุมพวกญวนไปตามเสด็จในการทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง และได้รับพระราชทานกองทัพไปตีเมืองไซ่ง่อนครั้งหนึ่ง ต่อมาองเชียงสือได้ลอบหนีกลับไปเมืองญวน เพื่อคิดอ่านตีเอาเมืองไซ่ง่อนคืน พฤติกรรมครั้งนี้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงขัดเคืองมาก จึงโปรดให้ญวนพวกองเชียงสือย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางโพ และได้สืบเชื้อสายมาถึงปัจจุบัน
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2377 พระเจ้าแผ่นดินญวนพระนามมินมาง ประกาศห้ามประกาศมิให้ญวนถือศาสนาคริสตัง  และจับพวกญวนที่เข้ารีดทำโทษด้วยประการต่าง ๆ  จึงมีพวกญวนเข้ารีดอพยพหนีภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในไทย โดยมาอยู่ที่เมืองจันทบุรีเป็นส่วนใหญ่ มีบางส่วนอพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ฯ และได้รับพระราชทานที่อยู่ให้ที่สามเสน
            ในปี พ.ศ. 2376 เจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้ยกทัพไปตีเมืองญวน และได้ครัวญวนส่งเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อปลายปี พ.ศ. 2377   ครัวญวนที่เข้ามาครั้งนี้แบ่งเป็น 2 พวก คือ พวกที่ถือพุทธศาสนาพวกหนึ่ง และพวกที่ถือคริสตศาสนาอีกพวกหนึ่ง พวกญวนที่ถือพุทธศาสนานั้นโปรดเกล้า ฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี สำหรับรักษาป้อมเมืองใหม่ที่ทรงสร้างขึ้นที่ปาก แพรก ส่วนพวกญวนที่ถือศาสนาคริสตตังให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามเสน ซึ่งมีญวนที่ถือคริสตังตั้งอยู่มาแล้วแต่เดิมและโปรดเกล้า ฯ ให้ขึ้นอยู่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เพื่อทรงฝึกหัดเป็นทหารปืนใหญ่
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ญวน ที่อยู่เมืองกาญจนบุรี มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษมแล้ว จัดให้เป็นทหารปืนใหญ่ฝ่ายวังหลวงสืบมา
ที่มา ของวัดญวนในไทย
            พวกญวนที่มาอยู่ในประเทศไทย มีทั้งที่นับถือพระพุทธศาสนา และที่นับถือคริสตศาสนา พวกที่นับถือพระพุทธศาสนา  เมื่อมาตั้งภูมิลำเนาอยู่แห่งใดก็จะนิมนต์พระญวนมาสร้างวัดเป็น ที่บำเพ็ญการกุศลของพวกตนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ประเทศญวนรับเอาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จากประเทศจีน  ดังนั้น เมื่อพวกญวนมาสร้างวัด และมีพระญวนขึ้นในประเทศไทย ชั้นเดิมก็มีผู้นับถือและอุดหนุนแต่เฉพาะพวกญวน แต่เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีวัดจีนในประเทศไทย พวกจีนก็มักไปทำบุญที่วัดญวนด้วย เพราะอยู่ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานด้วยกัน มีพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา เช่น พิธีกงเต๊ก เป็นต้น อย่างเดียวกัน  ส่วนไทยแม้ไม่สู้นับถือแต่ก็ไม่รังเกียจเพราะเห็นว่า นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน
            วัดญวนที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ก็เป็นไปตามที่พวกญวนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยกล่าวคือ ญวนพวกที่มากับองเชียงชุนครั้งกรุงธนบุรี ได้มาสร้างวัดขึ้นที่บ้านหม้อ  2 วัด คือ
                วัดกามโล่ตื่อ (วัดทิพยวารีวิหาร) อยู่ที่หลังตลาดบ้านหม้อในกรุงเทพ ฯ แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นวัดพระจีนปกครอง
                วัดโหย่คั้นตื่อ (วัดมงคลสมาคม) เดิมอยู่ที่บ้านญวนข้างหลังวังบูรพาภิรมย์ ครั้นเมื่อจะตัดถนนพาหุรัด วัดนั้นอยู่ในแนวถนน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ทำผาติกรรมอย่างวัดไทย คือพระราชทานที่ดินและให้สร้างวัดขึ้นใหม่ แลกกับวัดเดิมโดยย้ายไปตั้งที่ริมถนน แปลงนามในอำเภอสัมพันธวงศ์
            ญวนพวกที่มากับองเชียงสือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ได้สร้างวัดญวนขึ้น 2 วัด คือ
                วัดคั้นเยิงตื่อ (วัดอุภัยราชบำรุง) อยู่ที่หลังตลาดน้อย (ริมถนนเจริญกรุง) ในอำเภอสัมพันธวงศ์
                วัดกว๋างเพื๊อกตื่อ (วัดอนัมนิกายาราม) ที่บางโพ เรียกกันเป็นสามัญว่าวัดบางโพ
            ญวนพวกที่เข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ได้สร้างวัดญวนขึ้น  3 วัด คือ
                วัดคั้นถ่อตื่อ (วัดถาวรวราราม) อยู่ที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อญวนพวกนั้นย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ฯ ก็ได้สร้างวัดญวนขึ้นอีกวัดหนึ่งคือ
                วัดเกี๋ยงเพื๊อกตื่อ (วัดสมณานับบริหาร)  เรียกกันสามัญว่าวัดญวนสะพานขาว อยู่ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ในอำเภอดุสิต
                วัดเพื๊อกเดี้ยนตื่อ (วัดเขตร์นาบุญญาราม)  อยู่ที่เมืองจันทบุรี
            ต่อมาภายหลังได้มีวัดญวนที่พวกญวนและพวกจีนช่วยกันสร้างอีก 4 วัด คือ
                วัดโผเพื๊อกตื่อ (วัดกุศลสมาคร)  อยู่ในอำเภอสัมพันธวงศ์ ใกล้ถนนราชวงศ์
                วัดตี๊หง่านตื่อ (วัดชัยภูมิการาม)  อยู่ในอำเภอสัมพันธวงศ์ ที่ตรอกเจ๊ฮัวเนียม
                วัดหยิบเพื๊อกตื่อ (วัดบำเพ็ญจีบพรต)  อยู่ในอำเภอสัมพันธวงศ์  ใกล้ถนนเยาวราช  ต่อมาเป็นวัดพระจีนปกครอง
                วัดตื้อเต้ตื่อ (วัดโลกานุเคราะห์)  อยู่ในอำเภอสัมพันธวงศ์  ซอยผลิตผล  ถนนราชวงค์
                วัดคั้นถ่อตื่อ  ( วัดถาวรวราราม)  อยู่ที่อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา  สร้างใหม่เมื่อ ปี พ.ศ. 2501
            รวมวัดญวนที่มีอยู่ในกรุงเทพ ฯ 7 วัด อยู่ที่ต่างจังหวัด 3 วัด  รวมเป็น 10 วัด
ที่มา ของพระญวนในประเทศไทย
            พระญวนในประเทศไทย ชั้นแรกก็คงบวชมาจากเมืองญวน คือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ต่อมาเมื่อญวนกับไทยเป็นอริกัน  พระญวนในประเทศไทยก็มีแต่ที่บวชอยู่ในประเทศไทย  พระญวนที่อยู่ในประเทศไทยได้แก่ไขคติ หันมาตามอย่างพระสงฆ์ไทยหลายอย่างเป็นต้นว่า ถือสิกขาบทไม่ฉันอาหารเวลาวิกาลคือเวลาเย็น  ครองผ้าสีเหลืองแต่เพียงสีเดียว ไม่ใส่รองเท้าและถุงเท้า เหมือนพระในประเทศจีนและประเทศญวน  สำหรับข้อวัตรปฎิบัติอื่น ๆ ตลอดจนกิจพิธี คงทำตามแบบในเมืองญวนตลอดมา จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระญวนมีสมณศักดิ์ และได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระญวนมาทำพิธีกงเต๊ก เป็นพิธีหลวงบ่อย ๆ  จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกิจพิธีคล้ายกับพระสงฆ์ไทยมากยิ่งขึ้นอีกหลาย ประการ
            มูลเหตุที่พระญวนได้รับความยกย่องในราชการนั้น มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ   ครั้งยังคงทรงผนวชอยู่ ใคร่จะทราบลัทธิของพระญวน จึงทรงสอบถามองฮึง (ซึ่งต่อมาได้เป็นที่พระครูคณานัม สมณาจารย์องค์แรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ) จึงได้ทรงคุ้นเคยชอบพระราชอัธยาศัยมาแต่ครั้งนั้น เมื่อพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว พระญวนก็ได้มีโอกาสเฝ้าแหนได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังจะเห็นได้ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระญวนยังเข้าไปถวายธูปเทียน และกิมฮวยอั้งติ้วอยู่ทุกปี  ส่วนพิธีกงเต๊กที่ได้ทำเป็นงานหลวงนั้น  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทำเป็นครั้งแรก  เมื่องานพระศพสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อปี พ.ศ. 2404  ต่อมาเมือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ  เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2408  ก็ได้โปรดเกล้า ฯ  ให้มีพิธีกงเต๊กในพระบรมราชวังอีกครั้งหนึ่ง การพิธีกงเต๊ก  จึงได้เข้าในระเบียบงานพระศพซึ่งเป็นการใหญ่ เป็นประเพณีสืบต่อมา
            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ  ทรงมีพระราชดำริว่า  พวกญวนทั้งพระและคฤหัสถ์  ซึ่งมีอยู่ในพระราชอาณาเขตเวลานั้น  ตกมาถึงชั้นนั้น  เป็นญวนที่เกิดในพระราชอาณาเขต  เป็นแต่เชื้อสายญวนที่เข้ามาแต่เมืองญวน เช่นเดียวกับพวกมอญ พระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ   ตั้งพระสงฆ์มอญให้มีสมณศักดิ์เหมือนอย่างพระสงฆ์ไทย  จึงสมควรจะทรงตั้งพระสงฆ์ญวนให้มีสมณศักดิ์ขึ้นบ้าง  แต่พระสงฆ์ญวนคือฝ่ายมหายาน  จะเข้าทำกิจพิธีร่วมกับพระสงฆ์ไทยไม่ได้เหมือนอย่างพระสงฆ์มอญ จึงทรงมีพระราชดำริให้มีทำเนียบสมณศักดิ์สำหรับพระญวนขึ้นต่างหาก  และได้โปรดเกล้า ฯ  ให้มีสมณศักดิ์  สำหรับพระจีนด้วยในคราวเดียวกัน  ทรงเลือกพระญวนที่เป็นคณาจารย์ ตั้งเป็นตำแหน่งพระครู  พระปลัด  รองปลัด  (เทียบด้วยสมุห์)  ผู้ช่วย  (เทียบด้วยใบฎีกา)  ส่วนพระจีนนั้นหัวหน้าเป็นตำแหน่งพระอาจารย์  (เทียบด้วยพระครู  วิปัสสนา)  และมีฐานานุกรม  เป็นปลัด และรองปลัด  เช่นเดียวกันกับพระญวน  พระราชทานสัญญาบัตร  มีราชทินนามกับพัดยศซึ่งจำลองแบบพัดยศของคณะสงฆ์ไทย  แต่ทำเป็นขนาดย่อลงมา
                        ระเบียบการปกครองของคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย

การเข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบพิธีกรรมในราชสำนักของพระสงฆ์อนัมนิกาย และต่อมา ได้รวมเอาพระสงฆ์จีนนิกายเข้าไปด้วย แสดงถึงความจงรักภักดีของคณะสงฆ์ทั้ง ๒ นิกาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์เหล่านี้ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในทำนองเดียวกันกับพระสงฆ์มอญ ที่ได้รับมาแล้วในรัชกาลที่ ๔ แต่เนื่องจากพระสงฆ์จีนนิกายและอนัมนิกายนับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และประกอบพิธีกรรมที่ต่างไปจากพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท คือ พระไทย และพระมอญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีทำเนียบสมณศักดิ์สำหรับพระสงฆ์ญวนขึ้นต่างหาก และโปรดเกล้าฯ ให้มีสมณศักดิ์สำหรับพระสงฆ์จีนด้วยในคราวเดียวกัน อีกทั้งให้เลือกพระสงฆ์ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ขึ้นเป็นพระครู พระปลัด รองปลัด (เทียบด้วยสมุห์) ผู้ช่วยปลัด (เทียบด้วยใบฎีกา) และได้พระราชทานสัญญาบัตร มีราชทินนามและพัดยศ ซึ่งจำลองแบบมาจากพัดยศของพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท แต่มีขนาดเล็กกว่า คณะสงฆ์อนัมนิกายเดิมให้สังกัดกรมท่าซ้าย ในความดูแลของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ปั้น) และมีขุนอนัมสังฆการ เป็นผู้ดูแลพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายควบคู่กันไป โดยให้เป็นผู้แทนติดต่อกับสำนักพระราชวัง กรมธรรมการ และกรมท่าซ้าย ต่อมาจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้โอนพระสงฆ์ทั้งฝ่ายอนัมนิกาย และจีนนิกาย มาขึ้นกับกระทรวงธรรมการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑

ปัจจุบันวัดญวนมีสถานะเป็นองค์กรทางศาสนาเทียบเท่ากับมหาเถรสมาคม ภายใต้การบังคับบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช

วินัยและวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย

พระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายมีวัตรปฏิบัติที่คล้ายคลึง และที่แตกต่างจากทั้งพระสงฆ์ไทย (ฝ่ายเถรวาท) และพระสงฆ์ฝ่ายจีนนิกายในเรื่องต่างๆ ดังนี้

๑. จำนวนศีลสิกขาบท

พระสงฆ์ทั้งฝ่ายอนัมนิกายและฝ่ายจีนนิกายถือศีลจำนวน ๒๕๐ ข้อ ในขณะที่พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ในจำนวน ๒๕๐ ข้อนั้น มีข้อหลักๆ ที่คล้ายกับศีลของพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท แต่มีข้อปลีกย่อยเพิ่มเติม

๒. เครื่องแต่งกาย

พระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายและฝ่ายจีนนิกายสวมเสื้อและกางเกง ครองจีวร และไม่โกนคิ้ว ส่วนพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทครองสบง จีวร สังฆาฏิ และโกนคิ้ว

๓. อาหาร

เดิมพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายฉันเจ ๓ มื้อต่อวัน ภายหลังเปลี่ยนเป็นฉันชอ (เนื้อสัตว์) และลดลงเหลือ ๒ มื้อต่อวัน เช่นเดียวกับพระสงฆ์ฝ่ายจีนนิกาย โดยถือวิกาลโภชนา ส่วนพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทฉันอาหารทั่วไป และถือวิกาลโภชนาเช่นกัน

๔. การตื่นนอนและการบิณฑบาต

พระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายและฝ่ายจีนนิกายตื่นนอนและบิณฑบาตตามสะดวก ส่วนพระสงฆ์ ฝ่ายเถรวาทตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ และออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร

๕. พิธีกรรม

พระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายมีการปฏิบัติพิธีกรรมคล้ายฝ่ายจีนนิกายทุกประการ แต่มีพิธีบวช พิธีเข้าพรรษา พิธีสรงน้ำพระพุทธรูป คล้ายกับพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ในขณะที่ฝ่ายจีนนิกายไม่มี

ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย

การปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายในปัจจุบัน เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และมีกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติคือ กฎกระทรวงฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๒๐ ว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์อื่น จัดให้มีการดำเนินการปกครอง ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ลัทธินิกาย กฎหมาย และพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ดังนี้


โครงสร้างและตำแหน่งการปกครองของคณะสงฆ์อนัมนิกาย

กฎกระทรวงฯ ได้กำหนดให้เจ้าคณะใหญ่มีอำนาจในการวางระเบียบและออกคำสั่ง โดยไม่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย ลัทธินิกาย กฎหมาย พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช และระเบียบแบบแผนของทางราชการ เพื่อให้การปกครองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย กฎกระทรวงฯ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๒๐ จึงได้กำหนดให้มีบรรพชิตเป็นผู้ปกครองตามตำแหน่ง   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น